เทคโนโลยี

อัปเดต! ทำไมปีนี้ยังคงต้องใช้วิธียิงแอดใน Facebookในการทำการตลาด

สถานการณ์โลกออนไลน์ในตอนนี้ที่เต็มไปด้วยคู่แข่งมากมายไปหมด ไม่ว่าจะเป็นตัวนักการตลาดเองที่ต้องค้นหาวิธีการผลิตโฆษณาและวิธีการใหม่ๆ มาเพื่อให้ดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมายหรือผู้บริโภค การเลือกวิธียิงแอดใน Facebook ก็นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยให้เข้าถึงนักท่องอินเทอร์เน็ตได้ไม่ยากนัก เห็นผลเร็วในช่วงข้ามวันถ้าหากวางแผนดีๆ อีกทั้งยังสามารถควบคุมงบให้อยู่ในระยะที่ต้องการได้อีกด้วยหากมีประสบการณ์มากเพียงพอ แต่ทั้งนี้ข้อดีของการเลือกวิธียิงแอดใน Facebook นั้นจะมีอะไรบ้าง ตามมาหาคำตอบกันต่อได้จากบทความนี้เลย

เลือกกลุ่มเป้าหมายได้เอง

ข้อดีอันดับแรกของการเลือกสร้างโฆษณาออนไลน์ด้วยวิธียิงแอดใน Facebook ก็คือตัวนักการตลาดรุ่นใหม่สามารถเลือกหรือกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ด้วยตนเอง จะกว้างหรือแคบ พื้นที่ที่ต้องการให้โฆษณาเผยแพร่ไปถึง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเนื้อหาโฆษณาที่ต้องการจะเผยแพร่ออกไปด้วยว่าอยากจะให้จับกับกลุ่มผู้บริโภคแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นความสนใจของผู้บริโภค พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย หรือลักษณะเฉพาะของกลุ่มผู้บริโภคตั้งแต่พื้นที่ อายุ เพศ หากมีการทำการบ้านและวางแผนมาล่วงหน้าก็จะทำให้วิธียิงแอดใน Facebook นั้นบรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้อย่างแน่นอน

ฟีเจอร์ดึงดูดผู้บริโภค

แน่นอนว่าการทำโฆษณาด้วยวิธียิงแอดใน Facebook นั้นมีจุดเด่นหลักๆ ก็คือเรื่องของลูกเล่น ซึ่งถ้าหากจะคุ้นเคยกันดี โฆษณาบนแพลตฟอร์ม Facebook ส่วนใหญ่จะเน้นเป็นการโชว์รูปภาพหรือวิดีโอเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งนับได้ว่าเป็นฟีเจอร์ที่ดึงดูดสายตาผู้ใช้งานที่ผ่านไปมาได้เป็นอย่างดี ขึ้นอยู่กับว่าผู้ผลิตโฆษณาต้องการใช้ฟีเจอร์ไหนในการแสดงโฆษณา เน้นกระชับแนะนำว่าให้ใช้วิธียิงแอดใน Facebook แบบรูปภาพ หรือถ้าต้องการเน้นรายละเอียดหรือเป็นเนื้อหาโฆษณาที่ต้องการดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายแนะนำให้ใช้วิธียิงแอดใน Facebook แบบวิดีโอ หากรู้จักกระจายวิธีการเผยแพร่โฆษณาก็จะทำให้เนื้อหาโฆษณาของแบรนด์เราไปสู่สายตาผู้บริโภคได้ไม่ยากนัก

ท้ายที่สุดกับข้อดีของการเลือกใช้วิธียิงแอดใน Facebook ในการโปรโมทธุรกิจ แม้ว่าจะทำให้เห็นผลลัพธ์ภายในระยะเวลาอันสั้น ทำให้แบรนด์กลายเป็นที่รู้จักในเวลาไม่นาน แต่ก็ต้องแลกมาซึ่งค่าโฆษณา หรือ Paid Media ซึ่งก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิดหากเปรียบเทียบกับแพลตฟอร์มอื่นๆ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นค่า CPC หรือ Cost Per Click ของ Facebook นั้นมีต้นทุนค่าบริการที่ถูกกว่าแพลตฟอร์ม Search Engine อย่าง Google อยู่จำนวนไม่น้อย ถ้าหากว่าธุรกิจไหนที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนหรือ Budget เป็นหลักก็ต้องบอกเลยว่า Facebook มีส่วนช่วยประหยัดต้นทุนได้มากพอสมควร อีกทั้งยังเป็นแพลตฟอร์มที่อาจนำมาซึ่งยอดขายในอนาคตได้อีกด้วย